ลองของจริง ทดสอบ NISSAN NAVARA KC CALIBRE E 7AT BLACK EDITION




การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อผลักดันรถปิกอัพ Navara เข้าสู่สงครามในตลาดรถกระบะของไทย และต้องทำให้มันมีมากกว่าหน้าตาที่ดูดี Navara รุ่น KC Calibre E 7AT Black Edition 2022 มาพร้อมกับการควบคุมที่ดีขึ้น เก็บเสียงดีขึ้น และมีรูปลักษณ์ที่ลงตัวกับชุดแต่ง Black Edition โดยเฉพาะรถตัวถังสีขาวที่ตัดกับสติกเกอร์สีดำ พร้อมลวดลายที่ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี สำหรับคนที่กำลังสนใจรถกระบะยกสูงสำหรับการขับลุยน้ำท่วมใน กทม. ว่า KC Calibre E 7AT Black Edition 2022 มีอะไรใหม่ที่น่าสนใจบ้าง หลังจากการแนะนำ Navara รุ่นปรับปรุงในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2565 Navara ใหม่ ถูกปรับเปลี่ยนอีกครั้ง เพื่อยกระดับการใช้งาน รุ่น Pro4X ถูกดันขึ้นมาเป็นรุ่นท็อป ส่วนพระรองแค็บสั้นอย่างคันทดสอบในอาทิตย์นี้อย่าง KC Calibre E พร้อมชุดแต่ง Black Edition ก็เป็นรถ King Cab ที่แสดงออกถึงความตั้งใจของ Nissan ในการปรับปรุงครั้งนี้ โดยเฉพาะรุ่นที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ตกแต่งและระบบความปลอดภัย ถือเป็นความทุ่มเทของทีมงานพัฒนากระบะ Nissan ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปิกอัพที่อยู่หัวแถวของยอดขายรถปิกอัพในประเทศไทย 

Nissan Navara KC Calibre E 7AT Black Edition 2022
ราคาเริ่มต้น ฿ 849,000 บาท

KEY FEATURES

ชุดตกแต่งพิเศษสีดำ ล้ออัลลอย 18 นิ้ว สีดำ พร้อมลายกราฟิก Black Edition รอบคัน 

กระจังหน้า Interlock สีดำ พร้อมไฟหน้าแบบ Quad-Eye LED และไฟ Daytime

เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ 190 แรงม้าพร้อมเกียร์ 7 สปีด 

เทคโนโลยีกล้องมองภาพรอบทิศทาง (IAVM) พร้อมระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (MOD)

วิทยุหน้าจอสัมผัส 8″ พร้อม NissanConnect เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (VDC)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว (TCS)
ระบบช่วยในการขับบนทางลาดชัน (HSA)

อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก
กระจังหน้าสีเทาดำ

กันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถ

กันชนหลังสีดำ

กระจกบังลมหน้าแบบอัดซ้อนนิรภัย (Laminated Glass)

สปอยเลอร์ด้านหลัง

ไฟหน้าแบบ LED โปรเจกเตอร์

ไฟหรี่แบบ LED

ไฟหน้าเปิด-ปิด อัตโนมัติพร้อมระบบ Follow Me Home

ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Light)

ไฟท้ายแบบ LED

กระจกมองข้างขนาดใหญ่สีดำ

กระจกมองข้างขนาดใหญ่ปรับและพับเก็บไฟฟ้าอัตโนมัติ พร้อมไฟเลี้ยว LED

มือจับประตูด้านนอกแบบ Grip Type สีดำ

บันไดข้างสีดำ

ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบ 2 จังหวะ พร้อมระบบหน่วงเวลา

เสาอากาศแบบครีบฉลาม สีดำ

บังโคลนหน้า-หลัง

อุปกรณ์มาตรฐานภายใน
แผงควบคุมเครื่องเสียงและเครื่องปรับอากาศสีดำ พร้อมตกแต่งลาย Piano Black

คอนโซลกลางพร้อมช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า 12V แบบมีฝาปิด พร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 จุด

ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

ช่องเก็บของที่แผงประตูด้านหน้าและหลังพร้อมที่วางขวดน้ำ

NissanConnect – ระบบเครื่องเสียงและการเชื่อมต่อ หน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay® / Android Auto®*

ลำโพง 4 ตำแหน่ง

ช่องต่ออุปกรณ์ USB / AUX

ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกซ้าย-ขวา

พวงมาลัยพาวเวอร์ปรับระดับได้

พวงมาลัยพาวเวอร์ ยูริเทน

พวงมาลัยพาวเวอร์พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและโทรศัพท์

หัวเกียร์ยูริเทน

มาตรวัดรอบ

มาตรวัดระยะทางแบบดิจิทัล

มาตรวัดเรืองแสง

มาตรวัดแสดงข้อมูลการขับขี่ จอสีแบบสามมิติขนาด 7 นิ้ว

นาฬิกาดิจิทัล

รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth®

กระจกไฟฟ้าขึ้น-ลง แบบอัตโนมัติ พร้อมระบบป้องกันการหนีบเฉพาะด้านผู้ขับขี่

ระบบล็อกประตูอัตโนมัติตามความเร็วรถ

เบาะนั่งด้านหน้าฝั่งผู้ขับขี่ ปรับได้ 6 ทิศทาง

เบาะนั่งด้านหน้าฝั่งผู้โดยสาร ปรับได้ 4 ทิศทาง

หมอนรองศีรษะที่นั่งด้านหน้า

แผงบังแดดที่ใส่นามบัตรด้านคนขับ

แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าพร้อมไฟส่องสว่างด้านผู้โดยสาร

ไฟส่องสว่างในห้องผู้โดยสาร

ไฟอ่านแผนที่

ช่องเก็บแว่นกันแดด

กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนพร้อมตัดแสงในเวลากลางคืนอัตโนมัติ

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise control

ระบบ Push Start

โมโนเฟรมแชสซีทำจากเหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน (Fully Boxed Frame) ที่มีชื่อเสียงของ Nissan มาพร้อมระบบช่วงล่างและระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโครง ขณะที่ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบแหนบซ้อนพร้อมโช้คอัพ โดยทั้งหมดถูกปรับจูนใหม่ เพื่อสมรรถนะและการทรงตัวรถขณะขับเข้าโค้ง ในจุดนี้ ลองขับบนเส้นทางภูเขา และทางออฟโรด ให้ความรู้สึกที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งการทรงตัวในย่านความเร็วสูง การเข้าออกจากโค้ง การถ่ายเทน้ำหนักขณะเลี้ยวหรือเบรก โครงสร้างแชสซี เหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน พื้นที่กระบะตอนท้าย เพิ่มสเตปด้านท้ายรถ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานขึ้นลง รวมถึงการปรับตำแหน่งตะขอยึดใหม่ สำหรับการบรรทุกสัมภาระทั้งขนาดใหญ่และเล็ก

บั้นท้ายสไตล์รถกระบะจะออกแนว ทื่อๆ เหลี่ยมๆ รวมถึงไฟท้ายทรงแนวตั้งที่พบเห็นได้ทั่วไปในกระบะที่ประกอบในไทย ทั้งการขายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลัก Navara KC Calibre E Black Edition มีกันชนหลังที่ออกแบบให้ด้านบนเป็นที่เหยียบเพื่อขึ้นไปบนกระบะท้าย ไฟท้ายคล้ายกับไฟของ Hilux REVO Rocco ฝากระบะท้ายที่ทำจากเหล็ก ตราสัญลักษณ์ Nissan อยู่ใต้มือจับที่เปิดฝาท้ายพลาสติกสีดำ มีเลนส์ของกล้องมองหลังติดอยู่ด้านข้าง พร้อมรูกุญแจสำหรับล็อกฝากระบะท้าย ไฟเบรกดวงที่สาม หลอด LED ติดอยู่ด้านบนสุดบริเวณกึ่งกลางของหลังคาช่วงท้าย ติดกับขอบของกระจกบังลมบานหลัง ช่วยทำให้รถคันหลังมองเห็นไฟเบรกได้อย่างชัดเจน เสาอากาศภาครับวิทยุทรงครีบฉลาม ซุ้มล้อทั้งสีก็ยังมีพลาสติกกันโคลนติดมาให้อีกด้วย

ห้องโดยสารของ Navara KC Calibre E Black Edition เพิ่มความหรูหราด้วยงานตกแต่งเฉพาะรุ่น แม้จะจ่ายเงินไป 8 แสน แต่เบาะคู่หน้าก็ยังใช้มือในการปรับตั้งความสูงและระยะของตัวเบาะ การปรับรูปแบบและความสะดวกสบายของภายใน ด้วยการออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยพอเพียง แม้พื้นที่ Cab ด้านหลัง จะน้อยกว่าพื้นที่บริเวณเบาะคู่หน้า แต่ใช้เก็บสัมภาระได้ดี และไม่แนะนำให้นั่งโดยสารระยะไกล 

Nissan เสริมความหรูให้ KC Calibre E Black Edition ด้วยด้วยเบาะโดยสารหุ้มผ้าสีดำ เย็บเดินตะเข็บโชว์แนวเส้นกลางตัวเบาะอย่างหรูด้วยด้ายสีเทา พนักพิงหลังและหัวหมอนรองศีรษะอยู่ในตำแหน่งที่ลงตัว ปรับเอนตามความต้องการได้ ปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์พร้อมกุญแจรีโมต ระบบปรับอากาศแบบ 2 Zone แยกอุณหภูมิซ้ายขวา หน้าตาของแผงควบคุมระบบปรับอากาศยังคงเหมือนเดิม พวงมาลัยที่เคยดูธรรมดาในรุ่นที่แล้ว รถรุ่นใหม่เปลี่ยนใหม่มาเป็นพวงมาลัยสปอร์ตทรงสามก้าน หุ้มหนังแท้พร้อมสวิตช์มัลติฟังก์ชั่นปรับตั้งโหมดต่างๆ ของระบบอินโฟเทนเมนต์ และปุ่มปรับตั้งความเร็วของระบบ Cruise Control ซุ้มเกียร์ล้อมกรอบด้วยงานพลาสติกสีโครเมี่ยม หัวเกียร์ออโต้หุ้มหนังแท้ Nissan ออกแบบร่องคันเกียร์สำหรับการชิปเกียร์เองในโหมดแมนนวล ในเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด

แดชบอร์และคอนโซล ทำจากพลาสติกฉีดขึ้นรูป วางตำแหน่งของจอมัลติฟังก์ชั่นแบบใหม่ ที่ดูดีกว่าของเดิมที่เคยใช้ยี่ห้อ Kenwood จอภาพมัลติฟังก์ชั่น สั่งงานด้วยระบบสัมผัส ตำแหน่งจออยู่ต่ำไปนิด จอภาพมอนิเตอร์กลาง เชื่อมโยงการทำงานกับระบบอินโฟเทนเมนต์ ระบบนำทางด้วยดาวเทียม การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกต่างๆ มีความคมชัดและมีขนาดที่ใหญ่กว่าจอภาพแบบเดิม บริเวณกึ่งกลางของคอนโซลแต่มองเห็นได้ชัดเจนดี ช่องแอร์ทรงเหลี่ยมยังเหมือนเดิม มีสวิตช์ไฟฉุกเฉินอยู่ตรงกลาง ถัดจากจอมัลติฟังก์ชั่นต่ำลงมาเป็นชุดควบคุมอุณหภูมิแบบแยกส่วน 2 Zone สั่งงานด้วยระบบดิจิทัล แผงควบคุมแอร์ดิจิทัล ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย แผงควบคุมระบบปรับอากาศ ใช้สวิตช์ทรงเหลี่ยม ปรับตั้งควบคุมอุณหภูมิด้านซ้ายและขวา ปุ่มเร่งหรือลดความแรงของพัดลมแอร์ ที่อยู่ต่ำลงไปอีกนิดคือช่องจ่ายกระแสไฟฟ้า 12V แผงประตูและคอนโซลกลางมีที่วางแก้วน้ำมาให้หลายตำแหน่ง Navara KC Calibre E Black Edition ตกแต่งภายในด้วยความเรียบง่าย ห้องโดยสารโทนสีดำ ตำแหน่งกลางเบาะคู่หน้า มีที่พักแขนและที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง พอร์ต USB Type C บริเวณคอนโซลกลาง การเชื่อมต่อเพื่อใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน ทำได้ผ่าน Nissan Connect ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และ Android Auto เพื่อใช้งานในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ระบบนำทาง (Navigation system) หรือ แอปพลิเคชันฟังเพลงต่างๆ ผ่านหน้าจอเครื่องเสียงรถยนต์ระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียงหรือ Voice Recognition เจ้า Navara รุ่นปรับโฉม ยังสามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชัน NissanConnect Service บนสมาร์ทโฟน เพื่อให้เจ้าของเชื่อมต่อและดูข้อมูลของรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟน โดยมีฟังก์ชั่น เช่น การแสดงพิกัดรถยนต์ สถานะรถยนต์ การช่วยเหลือฉุกเฉิน และประวัติการขับขี่

พวงมาลัย 3 ก้าน หุ้มด้วยหนัง มีสวิตช์ปรับตั้งค่าต่างๆ ผ่านจอ MID ขนาดเล็กบริเวณกึ่งกลางมาตรวัด สั่งงานเชื่อมต่อกับระบบอินโฟเทนเมนต์ หรือระบบ Cruise Control ปุ่มรับหรือวางโทรศัพท์ไร้สาย หน้าปัดมาตรวัด มีขนาดของจอ MID multi information display ใหญ่โต มาตรวัดแบบเรืองแสงที่อ่านค่าได้ง่าย กึ่งกลางมาตรวัดความเร็วและวัดรอบ มีจอ MID ที่สามารถปรับตั้งให้แจ้งข้อมูลเป็นภาษาไทย จอภาพ Multi information display แจ้งเตือนการทำงานของระบบต่างๆ เช่น สปีดความเร็วเป็นตัวเลข นาฬิกาดิจิทัล ทริปมิเตอร์ อุณหภูมิภายนอก แจ้งเตือนระบบต่างๆ และการบำรุงรักษา ปรับตั้งระบบความปลอดภัย หรือเสียงเตือนในโหมดต่างๆ ปรับตั้งระบบไฟส่องสว่าง ระบบล็อกประตู ระบบขับเคลื่อน ส่วนจอภาพระบบสัมผัสที่คอนโซลกลางมีวิทยุ CD/DVD/MP3/ ช่องเชื่อมต่ออุปกรณ์เล่นเพลงจากภายนอก AUX/USB ความคมชัดของจอภาพและลูกเล่นต่างๆ อยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้ กล้องมองหลังแม้จะไม่ค่อยชัดเมื่อใช้งานตอนกลางคืน ก็ดีกว่าไม่มี รวมถึงเซนเซอร์และเส้นระนาบที่ปรากฏในกล้องมองหลัง ช่วยทำให้การขับถอยหลังในรถกระบะคันโต มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ใช้งานได้ง่ายและมีรูปแบบของจอมอนิเตอร์กลางที่สวยงามเข้ากับแผงคอนโซลกลางได้ดี

เครื่องยนต์ของ Nissan Navara KC Calibre E Black Edition เป็นขุมกำลังดีเซล 4 สูบอัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่ รุ่นล่าสุด รหัส YS23DDTT ความจุ 2.3 ลิตร 4 วาล์วต่อสูบ เครื่องยนต์รุ่นใหม่ตัวนี้มีการปรับสมรรถนะเพื่อความประหยัด และทำให้มีแรงบิดรอบต่ำเพียงพอต่อความต้องการในการเอาตัวรอดบนทางวิบาก เครื่องยนต์ดีเซลของมันยังปรับจูนมาเพื่อลดมลพิษ และมีประสิทธิภาพเหนือกว่าเครื่องยนต์รหัส YD25 DDTi ประกอบด้วยพาราเรลพอร์ตฝาสูบ ที่ถูกปรับให้ดีขึ้น วาล์ว EGR มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมด้วยบายพาสอินเจกเตอร์แรงดัน 200 MPa ระบบอัดอากาศหรือเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบทวินเทอร์โบ ระบบเชื้อเพลิง ใช้หัวฉีดไฟฟ้าคอมมอลเรล-ไดเรกอินเจกชัน พร้อมอัตราการบีบอัดต่ำ เครื่องยนต์มีอัตราส่วนกำลังอัด 15.4:1 กระบอกสูบกว้าง 85.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 101.3 มิลลิเมตร ปริมาตรความจุ 2,298 ซีซี ให้กำลัง 140 กิโลวัตต์ หรือ 190 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดจัดเต็มถึง 450 นิวตันเมตร หรือ 45.9 กิโลกรัมเมตร ที่ 1,500- 2,000 รอบต่อนาที มากพอที่จะส่งแรงบิดลงไปตะกุยล้อหลัง เพื่อเอาตัวรอดในเส้นทางออฟโรด ความจุถังเชื้อเพลิงดีเซล 80 ลิตร มีค่ามาตรฐานมลพิษค่อนข้างต่ำอยู่ที่ EURO-4 ระบบส่งกำลัง ใช้เกียร์อัตโนมัติ แบบ 7 สปีด พร้อมโหมดแมนนวล

อัตราทดเกียร์
เกียร์ 1 4.887
เกียร์ 2 3.170
เกียร์ 3 2.027
เกียร์ 4 1.412
เกียร์ 5 1.000
เกียร์ 6 0.864
เกียร์ 7 0.775
เกียร์ถอย 4.041
อัตราทดเฟืองท้าย 3.357

ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 7 สปีด ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ เน้นอัตราทดครอบคลุมทุกย่านของรอบเครื่องยนต์ โดยเฉพาะแรงบิดรอบต่ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่รถปิกอัพทุกคันจะต้องมีให้พอใช้งานในการเอาตัวรอดจากเส้นทางวิบาก อัตราทดที่กว้างของเกียร์ทำให้ช่วงความเร็วในแต่ละเกียร์กว้างขึ้น แต่ค่อนข้างส่งผลถึงการตอบสนองในช่วงแรกๆ ที่เริ่มกดคันเร่งอยู่เหมือนกัน เกียร์ 7 สปีดออโต้ ถ้าขับเรื่อยๆ ก็อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงพอใช้ได้ idle neutral control รวมไปถึง L/U แดมเปอร์ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ สำหรับใช้วิ่งทางยาว ช่วยให้ทำงานในรอบต่ำโดยไม่ส่งเสียงรบกวนมากนัก แรงสั่นสะเทือนจากการทำงานของเครื่องยนต์ลดลงไปมาก รวมถึงเสียงเครื่อง 2.3 ลิตร ก็ลดลงมากกว่าเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ตัวเก่า การออกแบบจุดยึดและยางแท่นเครื่องแท่นเกียร์ กับวัสดุซับเสียง เข้ามาช่วยทำให้ Navara KC Calibre E Black Edition เงียบและนิ่งขึ้นขณะเดินเบา ระบบบังคับเลี้ยวของ Navara เนื่องจากเป็นรถกระบะ ต้องรับภารกรรมมากกว่าปกติ จากการทำตัวเป็นรถลุยที่ใช้บรรทุกของหนักๆ Navara ทุกรุ่นยังใช้พวงมาลัยแรคแอนพีเนียนพาวเวอร์สายพาน มีพูเลย์เชื่อมต่อกับจุดหมุนของเครื่องยนต์เพื่อหมุนปั๊มพาวเวอร์หล่อลื่นน้ำมันในระบบบังคับเลี้ยวเหมือนเดิม นี่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นไฟฟ้าเมื่อไหร่ ก็น่าจะมีความดีสูสีกับ Ranger กันเลยทีเดียว แต่เมื่อยังคงใช้พาวเวอร์สายพาน ทำให้ความแม่นยำและน้ำหนักยังคงเป็นรองพวงมาลัยไฟฟ้าของกระบะมะกัน!

ระบบรองรับของ Navara Facelift Black Edition มาพร้อมกับสมรรถนะของการขับขี่แบบออฟโรด ด้วยการออกแบบความสูงจากพื้นทำมุมเข้าหากันที่ 31 องศา มุมออก 25.6 องศา สามารถขับผ่านน้ำท่วมขังหรือหลุมบ่อที่มีความลึก 450 มิลลิเมตร รวมถึงความสามารถในการไต่พื้นที่ลาดชัน 51 องศา ช่วงล่างด้านหน้าแบบดับเบิลวิชโบนบวกเหล็กกันโคลงหน้า ด้านหลังแบบแหนบซ้อน ระบบห้ามล้อ ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรก ส่วนด้านหลังยังคงใช้ดรัมเบรกพร้อมตัวช่วยเช่นระบบป้องกันล้อล็อก ABS / EBD / BA สำหรับการขับขี่บนพื้นที่ทุรกันดาร เช่น การลุยทราย โคลน ลุยลำธารที่มีระดับน้ำเฉียดๆ 1 เมตร ปีนขึ้นที่สูงชัน หรือลงในเส้นทางลาดชัน Navara ระบบ HDC ควบคุมการวิ่งลงทางลาดชัน โดยยังคงความเร็วต่ำสำหรับการขับลงเนินชัน ระบบ HAS ระบบออกตัวบนทางลาดชัน

ตลาดรถปิกอัพของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตหลักของ Nissan มักจะเต็มไปด้วยคู่แข่งสุดหิน เช่น Ford Ranger / Toyota Hilux REVO / Mitsubishi Triton / Isuzu D-MAX สำหรับแนวทางของ Nissan ในการปรับปรุงรถปิกอัพ ยังคงยึดมั่นกับภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง ทรหดอดทนต่อการใช้งานทุกรูปแบบ เห็นได้อย่างชัดเจนจากการนำเสนอในรูปแบบของโฆษณา ที่มักสื่อให้เห็นถึงบุคลิกภาพที่แตกต่างไปจากรถกระบะทั่วไป ทั้งสมรรถนะและรูปลักษณ์จากความบึกบึนของเส้นสายรอบคัน รวมไปถึงความสามารถของระบบขับเคลื่อนและช่วงล่าง ยอมรับว่า Navara KC Calibre E 7AT Black Edition นั้นสวยเอาเรื่อง มันดูแข็งแกร่งเกือบจะเท่ากับ Pro4X รูปลักษณ์ที่เรียบง่ายแต่พร้อมจะลุย ชุดแต่งสีดำบนตัวถังสีขาวดูสวยงามน่าใช้ ลูกเล่นต่างๆ ในระบบขับเคลื่อน หลังจากรับรถทดสอบในช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม ผมลองขับใช้งานในเมืองเพื่อดูความคล่องตัว ขนาดความยาวของ Navara KC Calibre อยู่ที่ 5,260 มิลลิเมตร เท่ากับ Pro4X พอดิบพอดี รัศมีวงเลี้ยวเฉียด 6 เมตรกว่าๆ ที่กว้างกว่ารถเก๋งขนาดเล็กมากนัก ทำให้ต้องปรับความรู้สึกและใช้ความระวัง เมื่อจะถอยหรือเลี้ยวเข้าสู่พื้นที่คับแคบ กล้องมองหลังที่แสดงภาพผ่านจอมอนิเตอร์มีเส้นระนาบของการกะระยะเชื่อมโยงกับการหมุนพวงมาลัย การเก็บเสียงในย่านความเร็วต่ำทำได้เหนือกว่ามาตรฐานของรถปิกอัพราคาแปดแสน เมื่อขับเร็วขึ้น เสียงเครื่องยนต์และเสียงยางจะเริ่มดังเข้ามาให้ได้ยินในย่านความเร็ว 80-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นคือเรื่องปกติของปิกอัพล้อโตที่ประจำการด้วยเครื่องยนต์ดีเซล KC Calibre Black Edition เป็นรถกระบะที่สามารถใช้งานในเขตเมืองได้ดี แต่คนต่างจังหวัดกลับนิยมชมชอบในความสมบุกสมบันของมัน และใช้งานอยู่ในไร่หรือพื้นที่ห่างไกล แต่พื้นที่ Cab หลังมีให้แค่ใส่ของพวกกระเป๋าเดินทางหรือสัมภาระอื่นๆ ได้พอสมควร รถรุ่นนี้ไม่ได้ออกแบบแค็บหลังให้นั่งโดยสาร มันจึงไม่มีทั้งเบาะและเข็มขัดนิรภัย ไปกันแค่คนสองคนก็ถือว่าใช้งานได้ถูกต้องตามกฎหมายในเรื่องของความปลอดภัย แม้จะอนุโลมให้นั่งแค็บหลังได้สองคน แต่ไม่แนะนำ และควรขึ้นไปเล่น Navara รุ่นสี่ประตูไปเลยจะดีกว่ามาเล่นรุ่นนี้ 

หลายวันต่อมาหลังจากฝนหยุดตกและท้องฟ้าเริ่มมีแสงแดด ผมออกทดสอบทางไกล โดยมุ่งหน้าไปยังตำบลบ้านใต้ ที่อยู่ในเขตอำเภอบ้านไร่ของจังหวัดอุทัยธานี เมื่อขับไปได้ไม่ไกล คุณจะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น Navara KC Calibre Black Edition เก็บเสียงพอใช้ได้ และให้ความรู้สึกถึงการเชื่อมโยงกันระหว่างการควบคุมและสัมผัสที่หนักแน่นเหมือนเดิม ช่วงล่างคลายความกระด้างลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงล่างที่แข็งราวกับหินผาของ Navara รุ่นที่แล้ว พวงมาลัยของมันให้สัมผัสที่เหมือนกับ Pro4X ทำให้ผมนึกถึงพวงมาลัพาวเวอร์เจ๋งๆ ใน Mazda BT-50 ตัวเก่า ทั้งความรู้สึก ระยะของการหมุนและความแม่นยำที่ลดทอนลงจากพวงมาลัยไฟฟ้าของ Raptor เจ้า KC Calibre E Black Edition เป็นปิกอัพพันธุ์ลุยที่มีชุดบังคับเลี้ยวเที่ยงตรงใช้ได้ แต่นำหนักและความแม่นยำ อย่างที่บอดกว่ายังเป็นรองเจ้าไดโนเสาร์อยู่พอสมควร ส่วนยาง ด้านความรู้สึก ยาง Toyo A25 Open Country A/T Tires ไซส์ 255/60 R18 สอดรับกับผิวถนนแบบผสม ซึ่งมีทั้งทางปูนและทางลาดยาง เป็นยางกึ่งเรียบกึ่งลุย วิ่งได้ดีบนถนนผิวเรียบและขรุขระ แต่ถ้าคิดจะเอาไปลุยแบบเต็มเหนี่ยว ต้องขับฝ่าหล่มโคลนลึก ควรเปลี่ยนเป็นยาง M/T ดอกใหญ่ที่ลุยได้ดีบนทางวิบาก สำหรับ ยาง A25 Open Country A/T ที่ติดรถใน Navara  KC Calibre E Black Edition รุ่นขับเคลื่อนสองล้อหลัง รองรับการใช้งานได้หลากหลายพอสมควร มันเป็นยางกึ่งๆ ที่ลุยได้พอหอมปากหอมคอ วิ่งบนทางลูกรังได้ดี เงียบและมีความนุ่มอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้

การจัดวางแซสซีส์ เครื่องยนต์ เกียร์ เฟืองท้าย และเพลาขับเคลื่อน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในขณะขับขี่ส่งผลไปถึงการทรงตัวที่ออกมาในแนวนิ่งและค่อนข้างมั่นคง หากความเร็วที่ใช้อยู่ในระดับเดียวกับที่กฎหมายกำหนด สัดส่วนของความสูงในรถปิกอัพขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงไม่เหมาะสำหรับการหักพวงมาลัยเร็วๆ แบบหวดเข้าโค้งมุมแคบด้วยความเร็วสูงเนื่องจากมีความสูงมากกว่ารถเก๋ง ความสูงบวกกับความกว้างของห้องโดยสารทำให้รู้สึกโปร่งโล่งและมองเห็นได้ไกล KC Calibre E Black Edition มีตำแหน่งท่านั่งขับที่คุณสามารถปรับให้มองเห็นได้อย่างครอบคลุม แม้แต่คนตัวเล็กก็แค่ยกเบาะให้สูงขึ้น เครื่องยนต์ดีเซล 2.3 ลิตร Two-Stage Turbo อย่างที่บอกว่า ถูกปรับการทำงานให้มีแรงสั่นสะเทือนลดลง จุดเด่นที่แรงบิด 450 นิวตันเมตร ซึ่งทำให้เกิดความกระฉับกระเฉงตั้งแต่เริ่มออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง เทอร์โบยังคงมีอาการรอรอบ แต่เมื่อบูสต์ติดแล้วก็สนุกเอาเรื่อง พวงมาลัยพาวเวอร์สายพานพูเลย์ มีระยะของการเลี้ยวกลับลำหรือเลี้ยวยูเทิร์น ใช้พื้นที่ค่อนข้างกว้าง กล้องมองหลังที่ทำงานร่วมกับเกียร์ถอยพร้อมสัญญาณเสียงแจ้งเตือนการถอยหลังเข้าไปใกล้กับสิ่งกีดขวางช่วยเปิดมุมมองส่วนท้ายทั้งหมดทำให้มองเห็นบริเวณท้ายรถทั้งหมด แต่คุณภาพของกล้องเมื่อใช้งานตอนกลางคืนนั้นด้อยลงไปมาก และเป็นแบบนี้เหมือนกันทุกคัน

แรงบิด 450 นิวตันเมตร รอรอบเล็กน้อยในช่วงต้นๆ พอจุดติด แรงฉุดลากจากเครื่องยนต์ถ่ายไปที่เกียร์ ลงไปที่ล้อคู่หลังจะนำพาตัวถังหนักเฉียดๆ 1.9 ตันให้พุ่งทะยานไปตามแรงส่งของฝ่าเท้า KC Calibre E Black Edition มีช่วงล่างที่หนักแน่นเอาเรื่อง ขับเร็วๆ ไปแบบเต็มคันเร่งก็ให้ความมั่นใจได้ดี ดีกว่า Navara ตัวเก่าที่เอาแต่แข็งลูกเดียวไม่ค่อยจะผ่อนสั้นผ่อนยาว King Cab ไม่ได้ทำให้การทรงตัวของกระบะรุ่นนี้ด้อยกว่า Pro4X ซึ่งมาในรูปแบบดับเบิลแค็บ การถ่ายเทน้ำหนักขณะเบรกที่ความเร็วสูงก็ถือว่าใช้ได้ แม้กระบะท้ายจะไม่ได้บรรทุกอะไรมาเพื่อทำให้มีน้ำหนักกดส่วนท้ายเอาไว้บ้าง พอเบรกหนักๆ ท้ายรถก็ไม่ได้ร่อนออกข้างเหมือนกระบะบางรุ่นในอดีต ความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงยังเหลือระยะคันเร่งอีกพอสมควรแต่ไม่มีถนนที่ยาวพอจะให้ทดสอบความเร็วปลายเลยเอากันแค่พอหอมปากหอมคอ 

Navara King Cab รุ่นยกสูง เป็นรถกระบะที่มีความสูงมากกว่ารถทั่วไป (225 มิลลิเมตร คือความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ) เมื่อนำไปวิ่งผ่านเส้นทางที่ไม่เรียบ ผิวถนนที่เป็นลอนหรือสูงต่ำไม่เท่ากันในบางช่วงบางจังหวะอาจสร้างปัญหาให้กับการควบคุมที่ความเร็วสูงบ้าง แต่ก็ไม่มากมายอะไร มันเป็นอาการปกติของปิกอัพยกสูงเมื่อขับเร็ว ไม่ได้แย่จนทำให้รู้สึกไม่ดี ช่วงล่างที่ปรับมาใหม่ทำให้อาการโคลงตัวลดน้อยลง การขับปิกอัพยกสูงด้วยความเร็วเดินทาง จะมีเรื่องของกระแสลมเข้าเกี่ยวข้อง ทั้งลมที่หมุนวนบริเวณกระบะท้าย กับบริเวณใต้ท้องรถ มวลน้ำหนักเฉียด 2 ตัน กับการจูนช่วงล่างและการตอบสนองของพวงมาลัยใหม่ ทำให้เมื่อขับที่ย่านความเร็วสูงไม่สร้างความเครียดมากนัก สิ่งที่เข้ามาช่วยก็คือระบบรองรับด้านหน้ากับพวงมาลัยที่ปรับนำ้หนักและความรู้สึกมาดีพอใช้ เป็นพวงมาลัยที่นิ่งและมีความมั่นคงใช้ได้ ทำให้ไม่ต้องมานั่งขยับพวงมาลัยเพื่อประคองรถให้อยู่บนเส้นทาง

การหักเลี้ยวหรือวิ่งบนทางตรงให้สัมผัสของระบบพาวเวอร์สายพานแบบเดิมๆ ทำให้การบังคับควบคุมเจ้ากระบะสีเทาคันนี้มีความง่ายดายหากใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด เป็นอีกจุดที่ Nissan ทำออกมาได้ดีและแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการปรับแชสซีโดยเฉพาะช่วงล่างด้านหน้ากับชุดบังคับเลี้ยวที่ถือเป็นหัวใจหลักของการควบคุมทิศทาง ช่วงล่างไม่นิ่มจนย้วย คล้ายช่วงล่างของ Rocco ซึ่งไม่แตกต่างจากรถปิกอัพตัวอื่นของบรรดาคู่แข่งร่วมตลาด แต่ก็ไม่ได้นิ่มหนึบแบบ New Ranger XLT คันเร่งมีน้ำหนักที่พอดี ตอบสนองได้ไม่กระฉับกระเฉงเท่า Ranger 2.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ และ Rocco รุ่น 2.8 แรงบิด 500 นิวตันเมตร ซึ่งทั้งคู่มีแรงบิดมากกว่า KC Calibre E Black Edition แรงบิดตอบสนองไปตามฝ่าเท้า มีรีเลย์บ้างหากกดคันเร่งเต็มเหนี่ยว ต้องรอแวบนึงก่อนที่เทอร์โบจะอยู่ในรอบของการทำงาน และเริ่มต้นการบูสพลังงาน การออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง อาการเทอร์โบแลคเป็นเรื่องปกติของกระบะดีเซลเครื่องเทอร์โบ อาจมีมากบ้าง น้อยบ้างในรถกระบะบางรุ่น บนเรือนร่างที่ใหญ่โตของ Navara รุ่นยกสูง พอเร่งจนรถลอยลำ มันจะพุ่งลิ่วๆ แบบลื่นไหลทันอกทันใจใช้ได้ แรงบิดที่มาในรอบต่ำใช้ออกตัวเร็วๆ ได้ดี แต่มาแบบที่จะถามก่อนว่า จะเอากันจริงๆใช่มั้ย เมื่อคุณจะขับกระบะยกสูงด้วยความเร็ว ควรใช้ความระวังเพิ่มมากขึ้น หากผิวถนนที่ใช้ออกตัวเร็วๆ จากจุดหยุดนิ่ง มีกรวด ทราย หรือเปียกชื้นจากฝน เมื่อคุณต้องเลี้ยวยูเทิรน์บนผิวถนนที่เปียกลื่นหรือมีกรวดทราย ขอเตือนว่าอย่ากดคันเร่งจนจมมิดทั้งหมด เมื่อม้า 190 ตัว ถูกปล่อยออกมาพร้อมๆ กันกับแรงบิด 450 นิวตันเมตร อาจทำให้เกิดอาการเป๋ปัดได้ง่ายๆ

ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องดีเซล 2.3 ลิตร เทอร์โบ ใช้รอบเครื่องประมาณ 1,800 รอบต่อนาที ทำให้การเดินทางไกลในย่านความเร็วคงที่ มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงแค่พอใช้ได้ เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร ดีเซล เทอร์โบของ Nissan ไม่ใช่ขุมกำลังที่จะทำตัวประหยัดมากนัก และออกจะตะกละด้วยซ้ำถ้าขับเร็วอย่างต่อเนื่อง ระหว่างการขับทดสอบเป็นการวิ่งตัวเปล่า ไม่ได้ทดลองบรรทุกสัมภาระที่กระบะท้าย ใช้ความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องบนเส้นทางภูเขาสูงชัน Navara KC Calibre E Black Edition ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 8.7 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วนทางราบบนไฮเวย์ ทำได้ดีขึ้นที่ 11.3 กิโลเมตรต่อลิตร

Nissan Navara KC Calibre Black Edition เกียร์อัตโนมัติ 7AT ราคา 849,000 บาท เป็นค่าตัวที่คุณจะต้องจ่าย สำหรับรถปิกอัพยกสูงขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมชุดแต่ง Black Edition คุณจะได้ปิกอัพออฟโรดที่ขับได้ดีสมราคา วิ่งทางราบเหมือนกับ Pro4X รุ่นท็อปแต่จ่ายถูกกว่าและได้อุปกรณ์กับห้องโดยสารที่ไม่เต็มเท่ากับรุ่นสี่ประตู สรุป เครื่อง YS23DDTT ที่ซดมากเกินไปนิดหากใช้รอบสูงต่อเนื่อง แต่ถ้าขับเรื่อยๆ ก็ถือว่าพอรับได้กับอัตราสิ้นเปลืองที่ 11.3 กิโลเมตรต่อลิตร ชุดแต่งให้กาบบันไดอัลลอยสีดำ ที่ต้องระวังในเรื่องของริ้วรอย นอกนั้นถือว่าทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะการทรงตัวในย่านความเร็วสูงไม่เป็นรองกระบะคันละล้านมากนัก สำหรับการขับใช้งานรถยนต์ในไทย รถกระบะยังคงได้รับความนิยมสูงเหมือนที่ผ่านมาในอดีต คุณสามารถหาเงินได้ในรถแบบนี้ โดยใช้ขับไปทำงาน บรรทุกของเมื่อต้องไปจ่ายตลาด หรือเอาสินค้าไปส่ง ขับไปตรวจงานก่อสร้างที่ต้องวิ่งผ่านป่าเขาลำเนาไพร เอาไว้รับส่งเด็กๆ ไปโรงเรียน หรือขับพาคนในครอบครัวออกไปผจญภัย เพื่อพักผ่อนในวันหยุด หรือขับลุยฝ่าน้ำท่วมกลับบ้านได้อย่างสบายใจไม่ตายกลางทาง 

คนที่ชอบใช้ชีวิตกลางแจ้ง กับการเลือกใช้รถกระบะ สามารถไปได้ในพื้นที่ที่รถเก๋งเข้าไม่ถึง Navara KC Calibre Black Edition เป็นงานปรับปรุงรถกระบะที่มีคุณภาพ มันมีทุกอย่างเท่าที่รถกระบะแค็บสั้น ควรจะมี เครื่อง ช่วงล่าง พวงมาลัยและเกียร์ออโตทำงานได้ราบเรียบและลื่นไหลใช้ได้ เครื่องยนต์มีแรงบิดมากพอ พร้อมใช้งานในเส้นทางที่โหดร้ายซึ่งรถเก๋งไมีมีวันเข้าถึง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยมีมาให้ครบ สรุปถ้าไม่ลุยหนักๆ Navara KC Calibre Black Edition ขับได้ดีสูสีกับ Pro4X  แต่ถ้าจะลุยออฟโรด Pro4X พร้อมชุดขับสี่จะรองรับทางโหดได้ดีกว่า เพราะตะกุยได้ถึงสี่ล้อ สำหรับ KC Calibre Black Edition มีการขับขี่ที่เทียบเท่าหรือดีกว่ารถปิกอัพคู่แข่งในบางแง่มุม จุดที่ผมชอบก็คือ ความสวยงามของสีตัวถัง อุปกรณ์ตกแต่งภายนอกที่ทำให้ดูดีขึ้น ขับสนุกใช้ได้ในจุดของพลังแรงบิด ช่วงล่างและชุดบังคับเลี้ยว แต่มีความสามารถในการลุยได้พอฟัดพอเหวี่ยงกันละครับ 8 แสนกลางๆ ไม่แพงครับ.

NISSAN NAVARA KC CALIBRE E 7AT BLACK EDITION 

เครื่องยนต์
ปริมาตรกระบอกสูบ 2,298 ซีซี.

แบบ ดีเซล 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบคู่ อินเตอร์คูลเลอร์

แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร / 1500 – 2500 รอบต่อนาที

กำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์ (190 แรงม้า) /3750 รอบต่อนาที

มาตรฐานไอเสีย Euro 4

ระบบเกียร์ อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมโหมดแมนนวล

ระบบจ่ายเชื้อเพลิง แบบคอมมอนเรลไดเรกอินเจกชัน

ความกว้างกระบอกสูบ 85.0 มิลลิเมตร ระยะชัก 101.03 มิลลิเมตร 

อัตราส่วนกำลังอัด 15.4 : 1

ความจุถังน้ำมัน ลิตร 80

ขนาดและน้ำหนัก
ความสูงทั้งหมด 1,830 มิลลิเมตร

ความยาวทั้งหมด 5,260 มิลลิเมตร

ความกว้างทั้งหมด 1,850 มิลลิเมตร

ระยะฐานล้อ 3,150 มิลลิเมตร

ระยะห่างระหว่างล้อ คู่หน้า / คู่หลัง 1,570 / 1,570 มิลลิเมตร

ความสูงใต้ท้องรถ 225 มิลลิเมตร

ขนาดกระบะบรรทุก ยาว 1,755 มิลลิเมตร กว้าง 1,490 มิลลิเมตร สูง 485 มิลลิเมตร

น้ำหนักรถ 1885 กิโลกรัม

รูปลักษณ์
จำนวนประตู 2

ประเภทตัวถัง King Cab

ระบบกันสะเทือน
หน้า อิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง

หลัง แหนบซ้อนพร้อมโช้คอัพ

ระบบเบรก
หน้า ดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน

หลัง ดรัมเบรก

ล้อ และ ยาง
ล้อ ล้ออัลลอย สีดำ 18″

ยาง 255/60 R18

ยางอะไหล่ ล้ออัลลอย สีดำ 255/60 R18

ระบบบังคับเลี้ยว
แบบ แร็ค แอนด์ พิเนียน

รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 6.3 เมตร

อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบเบรก ABS พร้อม EBD และ BA

ถุงลมนิรภัยคู่หน้า

ระบบป้องกันการลื่นไถลขณะถนนลื่น (ABLS)

ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ VDC

ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว TCS

ระบบควบคุมเสถียรภาพของรถ ขณะลากจูง (TSA)

แผงลวดไล่ฝ้ากระจกหลัง

ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED

เข็มขัดนิรภัยเบาะนั่งด้านหน้า ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง พร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ

ระบบกุญแจอัจฉริยะ

ระบบกุญแจ Immobilizer

สัญญาณเตือนแบบ VSS

กล้องมองหลัง

สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง

โครงสร้างนิรภัย Zone Body

คานกันกระแทกด้านข้าง

พวงมาลัยแบบยุบตัวได้ เมื่อเกิดการชนด้านหน้า

ระบบตัดวาล์วน้ำมันเชื้อเพลิงอัตโนมัติ ในกรณีรถพลิกคว่ำ

การขับขี่อัจฉริยะ NISSAN INTELLIGENT MOBILITY (NIM)
ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)

ระบบกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (IAVM)

ระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (MOD)

แพ็กเกจ ชุด NAVARA Utility Package (KC)

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/