เรื่องควรรู้ ไส้กรองระบบปรับอากาศ (ไส้กรองแอร์) ในรถยนต์ของคุณ




มลพิษทางอากาศและการใช้เวลาในสภาพการจราจรที่ติดขัดเป็นเวลานานอาจทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์ต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพ สภาพการจราจรตามเมืองใหญ่ในประเทศไทย ต้องใช้เวลาอยู่ในรถนานกว่าปกติเนื่องจากรถติด ทำให้ได้รับปริมาณมลพิษที่สูงกว่าระดับปกติ ไส้กรองอากาศของระบบปรับอากาศ ช่วยทำให้อากาศในห้องโดยสารสะอาดขึ้นถึง 6 เท่าเมื่อเทียบกับอากาศภายนอกรถยนต์

ไส้กรองอากาศคุณภาพดีจะช่วยทำให้อากาศภายในห้องโดยสารรถยนต์สะอาดขึ้น ด้วยการป้องกันและกรองมลพิษต่างๆ จากภายนอกผ่านไส้กรอง ควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศของระบบปรับอากาศทุก 15,000 กิโลเมตร หรือทุกๆ 1 ปี

ปัญหาการจราจรที่ติดขัดและมลภาวะเป็นพิษในประเทศไทย นั้นเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ซึ่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องเผชิญกับมลพิษบนท้องถนน ควรจะทำการเปลี่ยนทุกๆ 15,000 กิโลเมตร หรือปีละครั้ง หรือเมื่อพบว่ามีกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในห้องโดยสาร

องค์กรรณรงค์อิสระระดับโลกที่ลงมือทำเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และพฤติกรรม ปกป้องและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และส่งเสริมสันติภาพหรือ กรีนพีซ เผยถึงคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพฯ ช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2564 เข้าสู่ระดับที่ย่ำแย่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารต้องเผชิญขณะอยู่บนท้องถนน และจากการประเมินสภาพจราจรทั่วโลก หรือ Global Traffic Scorecard ปี 2560 ของ NRIX ชี้ให้เห็นว่าผู้ขับขี่ในกรุงเทพฯ นั้นใช้เวลาอยู่กับการจราจรที่ติดขัดมากถึง 64.1 ชั่วโมง นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังติดอยู่ในอันดับที่ 12 ของประเทศที่แออัดที่สุดในโลก การเปลี่ยนไส้กรองอากาศเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่มักจะมองข้าม ซึ่งจะต่างจากแบตเตอรี่รถยนต์ที่หากผู้ขับขี่ไม่ได้ทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของรถอย่างชัดเจน แต่การที่รถยนต์มีไส้กรองอากาศไม่สะอาดหรือเสื่อมคุณภาพจะทำให้อากาศเสียภายในรถเพิ่มขึ้นได้ถึงหกเท่า เนื่องจากมลพิษที่เข้าไปในห้องโดยสารจะไหลเวียนอยู่ภายในรถตลอดเวลา ทำให้ผู้โดยสารหายใจเอาอากาศที่ไม่บริสุทธิ์เข้าไป

มลพิษระดับ PM 2.5 ซึ่งเป็นฝุ่นละอองที่มีขนาด 2.5 ไมครอน หรือเล็กกว่า เป็นอันตรายต่อสุขภาพเนื่องจากฝุ่นละอองมลพิษเหล่านี้สามารถเข้าสู่ระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ การเลือกไส้กรองอากาศที่มีคุณภาพที่สามารถป้องกันไม่ให้มลพิษเหล่านี้เข้าสู่ภายในรถยนต์ได้ นอกจากนี้ควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศอย่างสม่ำเสมอเพื่อประสิทธิภาพในการกรองอากาศที่ดีที่สุด

รถยนต์โดยทั่วไปมีไส้กรองอากาศติดตั้งมากับตัวรถยนต์นั่นก็เพื่อทำการดัก และป้องกันมลพิษขนาดเล็กที่สามารถเข้ามาสู่ภายในห้องโดยสารได้ แต่ไส้กรองอากาศก็มีความแตกต่างทั้งในแง่ของคุณภาพและความหนาแน่นของเส้นใยกระดาษไส้กรอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของไส้กรองอากาศและการดักจับมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองที่มีค่าระดับ PM 2.5 หรือสูงเกินค่ามาตรฐาน

เมื่อเวลาผ่านไปไส้กรองอากาศจะเกิดการอุดตันของฝุ่นที่เกิดจากการรวมตัวของมลพิษและจำเป็นต้องทำการเปลี่ยนไส้กรอง เพราะไส้กรองอากาศที่อุดตันจะขัดขวางการไหลเวียนของอากาศที่จะเข้าไปในห้องโดยสาร ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ระบบทำความเย็นภายในห้องโดยสารทำงานหนักขึ้นเพื่อทำให้อากาศภายในรถเย็นลง ซึ่งจะใช้พลังงานและเชื้อเพลิงเกินกว่าที่จำเป็น และที่แย่ไปกว่านั้นคือมลพิษสามารถแทรกผ่านไส้กรองอากาศที่อุดตันสู่ห้องโดยสารได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของไส้กรองอากาศทั้งสิ้น ไม่ควรดูดฝุ่นไส้กรอง หรือใช้งานไส้กรองอากาศที่อุดตัน เพราะการทำเช่นนั้นจะไม่สามารถกำจัดฝุ่นมลพิษออกจากแผ่นกรองได้อย่างสิ้นเชิง และอาจจะเป็นการลดทอนประสิทธิภาพของการดักจับสิ่งมลพิษต่างๆ อีกด้วย.

ผู้เขียน : อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-5253692475053