Honda Civic e:HEV เมื่อรุ่นมาดซิ่งอย่าง RS มีเหลือแต่รุ่นไฮบริด…




เริ่มต้นบทความบางท่านอาจจะนึกว่าผมตั้งป้อมจะโจมตีรถไฮบริดเสียแล้ว แต่อันที่จริงผมไม่ได้ต่อต้านเลย มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้โดยเฉพาะเมื่อค่าน้ำมันแพงขึ้นทุกวี่ทุกวันแบบนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนกลุ่มที่บอกว่า “รุ่นไฮบริดแพงอ่ะ ผมซื้อตัวเทอร์โบ ผมเหลือส่วนต่างไว้เติมน้ำมันได้นานเลย” หรืออีกกลุ่มที่มองว่า “ค่าน้ำมันแพงอย่างนี้ ไฮบริดดีกว่า ขับๆ ไปเดี๋ยวส่วนต่างค่าเชื้อเพลิงก็ชดกันเอง แถมได้ของเล่นครบกว่า” ไม่มีใครผิดหรอกครับตราบเท่าที่เป็นเงินคุณเอง ที่จั่วหัวบทความไปอย่างนั้นเพราะออกจะเสียดายโอกาสของรุ่น Turbo RS เดิม ซึ่งเป็นรถขวัญใจวัยรุ่นสายแต่งสายโมดิฟาย เครื่องยนต์ L15 เทอร์โบ เป็นที่ทราบกันว่า Honda ให้หน่วยก้านตั้งต้นมาดี ทุกวันนี้ถ้าอยากเล่นเครื่องยนต์นี้ ก็เหลือแต่ในรุ่น EL กับ EL+ ซึ่งมาดของรถตอนยังไม่เปลี่ยนล้อแต่ง ไม่โหลด จะออกแนวเอาใจพ่อตามากกว่า

แต่ในเมื่อมันเหลือทางเลือกแค่นี้ ก็ลองให้โอกาส Civic e:HEV ใหม่ได้พิสูจน์ประสิทธิภาพสักหน่อย เอาน่า..ถึงโมดิฟายเครื่องไม่ได้ แต่ขุมพลังเดิมก็มีแนวโน้มจะไปได้ดีในด้านความประหยัดจากระบบ Full Hybrid e:HEV นั่นแหละ แล้วความจริงก็คือ Civic ที่ขายออกไปนั้นมีไม่ถึง 20% หรอกที่ได้พบเจ้าของประเภทชอบซนกับความแรง

มองเผินๆ เห็นสเปกบอกว่า 2.0 ลิตร คุณอาจจะคิดว่าเป็นการเอาเครื่อง Accord e:HEV มาลง แต่แท้จริงแล้วไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น ความจุ 1,993 ซีซี เหมือนกัน แต่รหัสเครื่องต่างกัน ของ Accord เป็น LFB1 และของ Civic เป็น LFC2 โดยสิ่งที่ Honda ปรับปรุงในเครื่องยนต์น้องใหม่คือการเปลี่ยนหัวฉีดเป็นแบบ Direct Injection ฉีดตรงที่สามารถฉีดเป็น 4 จังหวะต่อ 1 รอบเครื่องได้ แต่ข้อเสียของหัวฉีด DI คือทำงานใต้แรงดันสูง เสียงดัง ทาง Honda จึงต้องปรับปรุงเรื่องวัสดุซับเสียงบนตัวเครื่องยนต์ให้ช่วยลดเสียงแต๊กจากการทำงานของหัวฉีดลง พลังจากตัวเครื่องยนต์นี้ได้ 141 แรงม้า ซึ่งจะไม่มีวันลงพื้นครบ..ทำไม? เดี๋ยวค่อยอธิบายนะครับ

ส่วนมอเตอร์ขับเคลื่อนนั้นเป็นแบบ 2 มอเตอร์ (ขับเคลื่อน 1 + Generator 1) ที่ให้พลัง 184 แรงม้า แรงบิด 315 Nm ระบบตัดต่อกำลัง e-CVT (ซึ่งไม่ใช่เกียร์ CVT) ปรับปรุงการทำงานให้เงียบเสียงขึ้น และปรับขนาดชุดคลัตช์เล็กลง ตำแหน่งแบตเตอรี่อยู่ใต้เบาะคนนั่งหลัง และมีน้ำหนักเพียง 36 กิโลกรัม ถ้าไม่รวมเคสนอกและชุดสมองกลคุม แต่ความจุพลังไฟเพียงแค่ 1.0 kWh ถือว่าน้อยกว่า Corolla Altis หรือ Nissan Kicks

นิสัยการทำงานของระบบไฮบริด e:HEV ใน Civic นี้ถือว่าราบเรียบมาก ความสั่นของเครื่องยนต์เวลาทำงานก็ค่อนข้างน้อย และคุณแทบไม่ต้องห่วงเรื่องการตัดต่อกำลังเพราะเกือบตลอดการขับของคุณ ล้อรถจะถูกขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะตอนออกตัว ตอนกระทืบเต็มหนีกระบะพันเก้าซิ่งของเพื่อนคุณ หรือตอนวิ่งเหยาะๆ ในเมือง พูดง่ายๆ ว่าในระบบไฮบริดของ Honda นั้น มอเตอร์คือพระเอกที่มีบทบาทมากกว่าระบบของ Toyota ซึ่งเครื่องยนต์จะมีบทบาทในการขับดันรถเมื่อคุณต้องการพลัง นี่คือสิ่งที่ผมพยายามบอกไว้ก่อนหน้า ถ้าคุณกระทืบ Civic e:HEV เต็มๆ เครื่องยนต์จะคอยปั่นไฟเท่านั้น ไม่ได้ส่งกำลังขับเคลื่อนไปที่ล้อ แต่เวลาที่คุณขับลอยลำ ความเร็วสูงแต่คงที่นิ่งๆ ระบบ e-CVT จะต่อกำลังจากเครื่องยนต์ไปปั่นล้อ ถ้าคุณเปิดจอ Energy Flow บนหน้าปัดดู เวลาเครื่องยนต์ส่งกำลังไปล้อ จะมีรูปเฟืองขึ้นบนจอระหว่างรูปล้อครับ

เมื่อลองตอกคันเร่งในโหมด Sport ดอกแรกที่ผมจับเวลา ต้องยกเลิกเพราะล้อฟรีทิ้งจนผมนึกว่า เฮ้ย เฮ้ย นี่เราขับ Saab Turbo อยู่หรือไงฟระ..อันที่จริงคือ แม้ว่ายางของรุ่น e:HEV RS เป็น Michelin Pilot Sport 4 กว้าง 235 แล้ว แต่ถ้าถนนบริเวณนั้นมันไม่ได้แห้งหรือปลอดฝุ่นจริง คุณเตรียมรับอาการฟรีทิ้งขว้างได้เลยครับ ต้องหาพื้นถนนสะอาดๆ แล้วลองจับ 0-100 ได้มา 8.2 วินาที แล้วผมก็ลองกดคันเร่งต่อไปเรื่อยๆ ดูว่าพลังจะส่งไปได้ถึงไหน

บอกได้เลยว่าขนาดเท้าหนักอย่างผม ขับเจ้า Civic e:HEV RS สภาพเดิมๆ ยังแอบยิ้มเลยครับ เพราะอะไรก็ตามภายใต้ความเร็ว 140 ลงมา (และบวกกับระบบไฮบริดไม่ร้อนและแบตไม่หมดไฟ) เจ้านี่มันดุยิ่งกว่ารุ่นเทอร์โบเสียอีกครับ กดคันเร่งลงไปเป็นพุ่งทันทีแบบนิสัยรถถ่าน ไม่มีอาการหน่วงตอนออกตัวแบบรุ่น 1.5 เทอร์โบ ส่วนในยามขับขี่แบบพาแม่ยายไปทานข้าว ก็นุ่มเรียบเงียบเสียงอย่างที่ไฮบริดควรจะเป็น พูดง่ายๆ คือ ไม่ว่าคุณจะขับช้า ขับเร็วปกติ หรือกระแทกคันเร่ง Civic e:HEV RS ตอบสนองได้ดีทั้งนั้น

จุดอ่อนของมันจะอยู่ที่เมื่อเรากระทืบต่อเนื่องนานๆ ไฟจะหมดเหมือนคนที่ทำงานมา 4 ปีไม่ได้ขึ้นเงินเดือน อัตราเร่งต่างๆ จะช้าลง ดังนั้นถ้าพวกขาซิ่งมาถาม ผมคงแนะนำให้ซื้อรุ่นเทอร์โบอยู่ดี แต่คนที่ขับใช้งานทั่วไป เร็วบ้าง แต่ไม่ได้ซิ่งอยู่ตลอด คุณจะมีความสุขกับพลังที่พร้อมให้ใช้ และอัตราสิ้นเปลืองที่ขนาดว่าผมขับทดสอบ ทำ 0-100 ห้าครั้ง 80-120 สี่ครั้ง แล้วก็แช่ 120 ยาวๆ เข้าเชียงราย ยังเห็นระดับ 17 กิโลเมตร/ลิตรได้เลย ซึ่งรุ่น 1.5 เทอร์โบ ไม่มีทางได้เลขแบบนี้ ถ้าตอนนี้คุณยังนึกไม่ออกว่าจะเลือกรุ่นไหน ถามตัวเองครับว่าครั้งสุดท้ายที่คุณกดคันเร่ง 100% น่ะมันเมื่อไหร่ ถ้าคุณนึกไม่ออก ก็ซื้อตัวไฮบริดได้แน่

สิ่งที่ออกจะสวนทางกับพละกำลังอันดุดันก็คือช่วงล่าง ซึ่งขนาดตอนขับรุ่น Turbo RS เมื่อปีที่แล้ว ผมก็ว่ามันนุ่มนวลจนพอใจแล้ว แต่ e:HEV RS ที่ผมขับคราวนี้ ขนาดใส่ล้อ 18 นิ้วยางบางเฉียบ 235/40 ก็ยังนุ่มกว่าเลยด้วยซ้ำ เพราะถึงแม้จะมีอาการสะเทือนจากยางสไตล์สปอร์ตบ้าง แต่โช้คกับสปริงของรุ่น e:HEV บวกกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มจากรุ่นเทอร์โบราว 100 กิโลกรัม ทำให้มันนุ่ม…นุ่มในลักษณะที่ขับดีๆ คุณก็ได้รถที่ดีเลย แต่ถ้าคุณคิดจะขับเลวๆ คุณก็จะได้ความผิดหวังเป็นสิ่งตอบแทน เข้าโค้งหนัก ท้ายรถย้วยเป็นบ้าเป็นหลัง เหวี่ยงเปลี่ยนเลน มีเสียวสันหลัง

แต่ผมพอจะเข้าใจวิธีคิดของ Honda ตรงที่คนส่วนมากที่ซื้อ Civic ไม่ได้เอามาขับแบบบ้าๆ และถึงมีจริง คนเหล่านั้นก็มักไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่มาจากโรงงานง่ายๆ หรอก ต้องไปหาเรื่องยกสตรัทแต่งซิ่งใส่กันอยู่แล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น สู้ทำช่วงล่างเอาใจคนขับทั่วไปเลยดีกว่า อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าช่วงล่างรุ่นเทอร์โบสิ นุ่มด้วย และเวลาบู๊ก็ยังมั่นใจกว่า e:HEV ถ้าจะทำขายคนส่วนใหญ่ที่ความต้องการหลากหลาย การเซตช่วงล่างให้คล้ายรุ่นเทอร์โบที่สุด น่าจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า แรงกว่า แต่ดันช่วงล่างย้วยกว่า ผมว่ามันไม่สัมพันธ์กัน

ในความเป็นรถใช้งาน Civic ดูจะเป็นรถที่ตอบโจทย์กลุ่มใช้งานปกติมากที่สุด ด้วยการที่ขณะนี้นั้น Mazda เซตรถไปในแนวทางวัยรุ่นชัดเจน แม้ว่าโมเดลปี 2022 ใหม่ดูเหมือนช่วงล่างจะนุ่มขึ้น แต่ลักษณะโดยรวมของรถยังเน้นความสวยเปรียวมากกว่าพื้นที่ภายในและความสบายจากช่วงล่าง ในขณะที่ Corolla Altis เคยเป็นรถที่ตอบกลุ่มใช้งานมากที่สุด ขณะนี้พยายามทำรถให้ดูแนวทางสปอร์ตมากขึ้น แต่ก็ขาดความทันสมัยแบบที่เจ้าอื่นมี Civic มีเนื้อที่วางขาหลังยาวที่สุด มีเบาะหลังที่น่าจะสบายสุดในบรรดารถระดับเดียวกัน ก่อนหน้านี้ Honda ไม่ยอมใส่ช่องแอร์ส่องคนนั่งหลังมาให้ คราวนี้ในรุ่น e:HEV ไม่ว่าจะเป็นตัว EL+ หรือ RS คุณได้สิ่งนี้ทั้งคู่ บ้านที่มีคนนั่งหลังไปด้วยบ่อยๆ โดยเฉพาะคนมีลูกเล็กจะรู้ว่าเวลาเด็กร้อนแล้วขี้บ่นมันเป็นยังไง

Honda ยังเหนียวแน่นกับการพึ่งพากล้องส่องจุดบอดกระจกมองข้าง (LaneWatch) ซึ่งมีมาให้แค่ด้านซ้าย ยังไม่มีกล้องรอบคัน และระบบ Blind Spot Monitoring แบบซ้าย/ขวา ซึ่งถ้ามีให้ก็จะดีต่อความปลอดภัยในการขับมากขึ้น แต่ถ้าคุณอยู่ได้โดยไม่มีสองอย่างนี้ ก็ต้องเรียนให้ทราบว่า Civic e:HEV ทุกรุ่นย่อย มาพร้อมระบบ Honda SENSING ที่ทำตั้งแต่ เบรกอัตโนมัติในบางช่วงความเร็ว มีระบบ Cruise Control แบบแปรผันความเร็วอัตโนมัติ มีระบบรักษารถให้อยูในเลน ไฟสูงอัตโนมัติ และระบบเตือนเวลารถคันหน้าเขยื้อนตัวออกแล้วคุณยังเผลอเล่นมือถืออยู่

ถ้าคุณไม่ได้สนใจชุดแต่งสไตล์ RS แล้วล่ะก็ ผมแนะนำให้ลองดูรุ่น EL+ ก่อนดีกว่าครับ เพราะราคา 1,129,000 บาทน่ะ ถูกกว่าตัว RS ตั้ง 130,000 บาท โดยที่คุณยังได้มาดรถที่ไม่ได้ดูเหมือนตัวถูก มีล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ซึ่งไปขโมยมาจากรุ่น Turbo RS ที่เลิกขายไปแล้ว เอามาทำสีใหม่ มีเบาะไฟฟ้าคู่หน้า มีจอกลาง 9 นิ้ว ตัวเดียวกันกับ e:HEV RS และแน่นอนว่ามีช่องเป่าแอร์หลังมาให้

ถ้าเทียบกับรุ่น RS สิ่งที่จะหายไปก็คือ ชุดแต่ง RS, ล้ออัลลอย 18 นิ้ว, กุญแจแบบคีย์การ์ด, เบาะแบบหุ้มหนังกลับ, ระบบปรับอากาศแยกฝั่งปรับอุณหภูมิ, หน้าปัดจอเต็ม (เปลี่ยนเป็นแบบจอ 7 นิ้ว+เข็มความเร็ว), ระบบ Honda CONNECT, เบาะหลังพับได้, ไฟตกแต่งภายใน และ Wireless Charger ส่วนระบบนำทางนั้น รุ่น RS มีแบบฝั่งในจอให้เลย แต่ถ้าคุณคุ้นกับการใช้ Apple CarPlay/Android Auto อยู่แล้ว ก็ไม่น่ามีปัญหา ระบบนำทางอาจจะทำงานดีกว่าของติดรถเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้นถ้าถามว่า Civic e:HEV ใหม่น่าเล่นหรือไม่? ก็ให้ดูการใช้งาน และดูแนวโน้มราคาน้ำมัน สำหรับคนที่ไม่ได้คิดจะแต่งซิ่ง รุ่น e:HEV มีความน่าเล่นเพราะคุณได้พละกำลังมากมายสำรองเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น โดยที่ในยามพักรบ ม้าใต้ฝากระโปรงก็กินหญ้าน้อยกว่าม้าของรุ่นเทอร์โบแบบมีนัยสำคัญ อุปกรณ์ต่างๆ ให้มาครบครันกว่า เอาแค่รุ่น EL+ ของตัว Turbo เทียบกับ EL+ ของตัว e:HEV คุณจะเห็นได้ว่าตัวไฮบริดนี่ได้ของมาครบกว่ากันอย่างชัดเจน และ e:HEV EL+ ในขณะนี้ ผมว่าเป็น Civic ที่บาลานซ์ความคุ้มค่าอย่างลงตัวที่สุดถ้ามองแบบรอบด้าน

แต่สำหรับคนที่เน้นประหยัดเงินจริงๆ ต้องเรียนให้ทราบว่าหากคุณใช้รถปีละ 20,000 กิโลเมตร การเป็นรุ่นไฮบริดช่วยเซฟค่าน้ำมันคุณได้ปีละประมาณ 20,000-25,000 บาท ถ้ามองแบบคร่าวๆ ก็คือความคุ้มค่าในด้านการใช้จ่ายมันจะมาหลังจากคุณใช้ไป 4-5 ปี ในกรณีที่คุณอยากเซฟเงินวันนี้เลยแล้วหักใจเรื่องออปชันได้ รุ่นเบนซิน 1.5 Turbo EL+ น่าจะเหมาะสมกว่าครับ ผมถึงบอกว่าลองเอาเครื่องคิดเลขมากดๆ ดูจะพอเห็นภาพ แล้วถามตัวเองก่อน อยากได้ Civic แต่จ่ายภาพรวมน้อย หรือว่าอยากจะเอาทั้งเรื่องค่าน้ำมันและออปชันติดรถด้วย เพราะคำตอบมันจะไม่เหมือนกัน

ที่แน่ๆ คือ ไม่ว่าจะทางเลือกไหน คุณก็ยังได้รถขับง่าย ใช้งานง่ายแต่มีเสน่ห์ในแบบของ Honda พร้อมสมรรถนะจากขุมพลังไม่ธรรมดาที่วัยรุ่นและวัยดึกขับแล้วชอบได้เหมือนกันทั้งคู่ครับ.

Pan Paitoonpong