มาแล้ว AUDI THAILAND เปิดตัว NEW RS7 SPORTBACK QUATTRO




อารมณ์ของการขับเคลื่อนที่มีทั้งความตื่นเต้นและความสะดวกสบาย ทุกวันนี้ ความเร็วสูงสุดไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับอัตราเร่งและความสามารถในการยึดเกาะ Audi Sport กับผลงานการปรับแต่งรถซาลูนหุ่นเพรียวลมให้มีประสิทธิภาพเหนือระดับ นี่คือ Audi RS 7 Sportback Quattro รุ่นที่สอง รถแกรนทัวริ่งส์ที่เป็นคู่ต่อสู้ของ Mercedes-AMG E63 และ BMW M850i Gran Coupe และพิเศษกว่าที่เคย เป็นครั้งแรกที่ Audi Sport นำเสนอ Sportcoupé สมรรถนะสูงแบบห้าที่นั่ง ฐานล้อกว้าง ระยะห่างของล้อที่เพิ่มขึ้น และสมรรถนะของระบบขับเคลื่อนที่เข้มข้นมากกว่าเดิม ระบบส่งกำลังประสิทธิภาพสูง ช่วงล่างแบบสปอร์ตสองทางเลือก ล้อ 21-22 นิ้ว ชุดขับเคลื่อน Quattro เวอร์ชัน Sport RS ระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้อ four-wheel steering และเฟืองขับเคลื่อน Sport Differential เพื่อต่อกรกับคู่แข่งร่วมสัญชาติเยอรมันในกลุ่มลักชูรี่สปอร์ตซาลูน

AUDI THAILAND เปิดราคา AUDI RS7 SPORTBACK QUATTRO เครื่องยนต์เบนซิน V8 ทวินเทอร์โบ 600 แรงม้า 800 นิวตันเมตร 0-100 ใน 3.6 วินาที ด้วยราคา 10,700,000 บาท

“RS 7 Sportback คือการตีความของ Audi Sport เกี่ยวกับรถซาลูน 4 ประตู สมรรถนะสูง ในรูปทรงของแกรนด์ทัวเรอร์หลังคาลาดแบบ Coupe” Oliver Hoffmann กรรมการผู้จัดการของ Audi Sport GmbH กล่าว “ด้วยการปรับแต่งเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งสมรรถนะในการใช้งาน สิ่งที่เรามีในที่นี้คือสปอร์ตคูเป้ที่ไม่ธรรมดาสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบรถยนต์ของตนให้มีดีไซน์ที่สวยงาม” Audi RS 7 Sportback ใหม่ถูกปรับให้เตี้ยลงเพื่อลดค่า CG ซุ้มล้อแบบบานเกล็ดเน้นย้ำถึงความสปอร์ตของ สมรรถนะสูง ความกว้างของตัวรถที่เห็นได้ชัดเจน 1,950 มิลลิเมตร (76.8 นิ้ว) ในแต่ละด้าน กว้างกว่า Audi A7 Sportback 20 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ภายนอกในฐานะที่เป็นรุ่นสูงสุดของโมเดล A7 เจ้า RS7 Sportback จัดเต็มสูบด้วยความโหดระดับซุปเปอร์สปอร์ต โป่งข้างบวมพองออกมาเพื่อรองรับล้อวงสวยขอบ 22 นิ้ว สาแก่ใจในความใหญ่โตของล้อและยาง ไฟหน้าแบบใหม่ HD Matrix LED Headlights Technology ติดตั้งหลอด LED ในตำแหน่งไฟเลี้ยว 12 หลอด พร้อมไฟ LED ที่ใช้ส่องมุมด้านข้างของตัวรถ ไฟหน้าทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ รองรับฟังก์ชันการใช้งานที่ครอบคลุม ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติไปตามเซนเซอร์และโซนาร์ตรวจจับวัตถุต่างๆ บนถนน

ภายนอกของ RS 7 Sportback มีขนาดความยาวถึง 5,009 มิลลิเมตร (197.2 นิ้ว) ส่วนหน้ามี Singleframe กว้างและแบนโดยไม่มีเส้นขอบที่ตัดกัน กระจังป้องกันหม้อน้ำที่มีโครงสร้างแบบรังผึ้ง ซึ่งเป็นชุดกระจังเฉพาะของเวอร์ชัน RS ช่องรับอากาศช่วยเพิ่มความดุดัน ธรณีประตู RS เฉพาะพร้อมชิ้นส่วนตกแต่งแทรกสีดำเน้นเพื่อให้เห็นถึงการพุ่งทะยานไปข้างหน้า ส่วนท้ายมีขอบสปอยเลอร์แบบกว้าง และแถบไฟท้ายที่เชื่อมกับไฟท้ายหลัก ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สปอยเลอร์ท้ายจะกางออกมาจากฝาท้าย เพื่อเพิ่มแรงกดส่วนท้ายของรถ ระบบไอเสีย RS ปลายท่อรูปไข่ขนาดใหญ่สีโครเมียมในแต่ละด้าน อยู่ใต้กันชนเฉพาะของ RS พร้อมดิฟฟิวเซอร์ด้านหลัง ชิ้นส่วนที่ RS7 Sportback ใช้ร่วมกับ A7 คือฝากระโปรง หลังคา บานประตูหน้า และฝาท้ายไฟฟ้า

RS 7 Sportback มาพร้อมกับไฟหน้า LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อส่องผ่านความมืด อุปกรณ์เสริมไฟหน้า digital matrix LED เฉพาะรุ่น RS พร้อมเลเซอร์กรอบสีเข้ม และไฟท้าย LED ติดตั้งไฟเลี้ยวแบบไดนามิก ไฟหน้า LED แบบ digital matrix เป็นอุปกรณ์ระดับบน การทำงานมีความซับซ้อนจากชิ้นส่วนต่างๆ ของชุดไฟที่แบ่งหน้าที่การทำงาน เพื่อเพิ่มกำลังการส่องสว่างเส้นทางด้านหน้า ด้วยลำแสงที่มีความละเอียดสูง การออกแบบใช้เทคโนโลยี DMD digital micromirror device ลักษณะเดียวกับที่ใช้ในโปรเจกเตอร์วิดีโอ หัวใจของมันคือ กระจกไมโครหนึ่งล้านชิ้น ด้วยความช่วยเหลือของกระแสไฟฟ้าสถิตและซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานที่ชาญฉลาด micromirror แต่ละตัวสามารถปรับเอียงได้ถึง 5,000 ครั้งต่อวินาที ขึ้นอยู่กับการตั้งค่า ไฟ digital matrix LED จะส่องผ่านเลนส์ไปตามถนนหรือเบี่ยงเบน ลดมุมของการส่องเพื่อปิดบังพื้นที่ของลำแสง ไม่ให้ไปรบกวนสายตาของรถที่แล่นสวนทางมาหรือรถที่วิ่งอยู่ข้างหน้า

ใน Audi e-tron Sportback และ RS7 Sportback ไฟ digital matrix LED ไม่เพียงแต่ให้กำลังในการส่องสว่างขณะเข้าโค้ง การขับในเมือง และบนทางหลวงเท่านั้น ในฐานะระบบไฟแบบใหม่ ที่เน้นความแม่นยำและกำลังในการส่องสว่างมากเป็นพิเศษ digital matrix LED เสริมการทำงานของไฟสูง ด้วยระบบเบี่ยงเบนทิศทาง เพื่อไม่ทำให้ลำแสงรบกวนผู้ใช้ถนนอื่นๆ มีฟังก์ชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งจะส่องสว่างช่องทางด้านหน้า ปรับไฟแบบไดนามิกเมื่อเปลี่ยนช่องทาง ไฟแสดงทิศทางในบริเวณที่มืดมิด เพื่อแสดงตำแหน่งของรถในช่องทางเดินรถด้วยระบบคาดการณ์ล่วงหน้า ช่วยเปิดมุมมองในบริเวณที่มืดมิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขับบนเส้นทางชนบทที่ปราศจากแสงไฟส่องถนน บนถนนที่คับแคบหรือในเขตก่อสร้าง digital matrix LED ดึงความสนใจไปยังคนเดินถนนที่ตรวจพบโดยอัตโนมัติ ช่วยลดอันตรายจากการมองไม่เห็น หรือคนเดินถนนในบริเวณที่ใกล้เคียงกับช่องทางเดินรถ

HD Matrix LED ใน RS7 Sportback รุ่นสูงสุดของแบรนด์สี่ห่วง ติดตั้งระบบปรับมุมของแสงเพื่อเพิ่มระยะของการมองเห็นในที่มืด ช่วยลดมุมอับของแสงไฟขณะขับเคลื่อนอยู่ในโค้งหรือเคลื่อนที่ผ่านทางแยก ลดหรือยกไฟสูงแบบอัตโนมัติ เป็นระบบส่องสว่างของ Audi ยุคใหม่ที่ก้าวล้ำ เทียบเคียงกำลังในการส่องสว่างของ Adaptive LED ใน BMW 8-Series และ Multi Beam LED ใน Mercedes-Benz CLS63 AMG ซึ่งเป็นระบบส่องสว่างยุคใหม่ได้อย่างสบายๆ HD Matrix LED Headlights Technology มีกำลังในการส่องสว่างไกล 600 เมตร มาพร้อมฟังก์ชันปรับตั้งขณะขับขี่ท่ามกลางหมอกลงจัดหรือฝนตกหนัก รวมถึงสภาพการต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นในเวลากลางคืน ไฟท้ายแบบ Full LED ทำงานราวกับนักมายากลด้วยการกะพริบที่ชัดเจนทั้งไฟเบรกและไฟเลี้ยว

Audi RS7 Sportback เป็นแฝดผู้พี่ของ RS6 Avant สำนัก Audi Sport โน้มน้าวผู้ดูแลการเงินของบริษัท ให้ขุดลึกลงไปเพื่อที่จะสามารถสลับแผงตัวถังส่วนใหญ่เพื่อให้ RS7 กว้างขึ้น ดูโฉบเฉี่ยวกว่า A7 โดยมีความกว้างเพิ่มขึ้น 40 มิลลิเมตร มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบส่งกำลัง เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ 4.0 ลิตรให้กำลัง 600 แรงม้า ระบบ Mild Hybrid ที่ประหยัดเชื้อเพลิง กระบอกสูบแบบ V8 ยังสามารถลดการทำงานให้เหลือแค่ V4 ได้ เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำในเมืองเพื่อลดการปล่อยมลพิษ โหมดการขับ Audi Drive Select มีให้เลือกเหมือนเดิม เช่น comfort, auto, dynamic, efficiency โดยมีการเพิ่มระดับของการตอบสนองด้วยโหมด RS1 และ RS2

มิติตัวถังของ RS7 Sportback 2022 มีความยาว 4,969 มิลลิเมตร กว้างมากถึง 1,908 มิลลิเมตร และมีสัดส่วนความสูงอยู่ที่ 1,390 มิลลิเมตร ความยาวของฐานล้อ 2,926 มิลลิเมตร พื้นที่เก็บสัมภาระใต้ฝาท้ายมีขนาดความจุ 535 ลิตร และเมื่อพับเบาะหลังราบลงกับพื้นจะเพิ่มความจุของห้องเก็บของได้ถึง 1,390 ลิตร ส่วนน้ำหนักตัวรถทั้งคันอยู่ที่ 2,065 กิโลกรัม

ประสิทธิภาพด้านอัตราเร่ง RS7 Sportback เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 250-305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ยอดเยี่ยมในรถยนต์ที่มีน้ำหนักสองตัน เครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อทั้งสี่ด้วยระบบ Quattro ผ่านกระปุกเกียร์อัตโนมัติแปดสปีด ชุดขับเคลื่อน Quattro แบบใหม่ สามารถเทกำลังแรงบิดไปที่เพลาหลังมากถึง 85 เปอร์เซ็นต์ คล้ายกับโหมดดริฟต์ ใน BMW M5 และ Mercedes-AMG E63 Quattro สามารถผกผันแรงบิดอย่างอิสระ ไปยังล้อทั้งสี่เพื่อสร้างความสมดุลขณะทำความเร็ว

สมองกลไฟฟ้าที่คอยควบคุมแรงบิดจะสับเปลี่ยนพลังงานไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด กลไก Sport Differential ที่ด้านหลัง เช่นเดียวกับพวงมาลัยแบบ four-wheel steering เพื่อเพิ่มความคล่องตัว (อย่างมีประสิทธิภาพ) วิศวกรของ Audi กล่าวว่า RS7 Sportback ถูกจูนให้มีอาการที่เป็นกลาง ลดโอเวอร์สเตียร์ลงและอาจมีอาการอันเดอร์สเตียร์บ้างเมื่อเข้าโค้งอย่างรุนแรง

พวงมาลัยเลี้ยวสี่ล้อ four-wheel steering และระบบ Sport Differential ทำให้มีความคล่องตัวที่ค่อนข้างขัดแย้งกับน้ำหนัก 2,065 กิโลกรัม ในจุดนี้ RS7 Sportback ทำได้ดี แม้จะมีน้ำหนักมากกว่า Mercedes E63 ที่เป็นคู่แข่งถึง 200 กิโลกรัม แน่นอนว่ามันยังคงให้รู้สึกถึงน้ำหนักมหาศาล ภายใต้การเบรกอย่างหนักหน่วงในสนามแข่ง ขนาดความกว้างเกือบสองเมตร ไม่น่าจะเอื้อต่อการมุดไปมาด้วยความเร็วสูง แต่ RS7 เป็นรถในตระกูล RS ที่ปราดเปรียว ซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ RS4  B7 ในช่วงปลายยุค 2000 คนของ Audi Sport บอกว่า การบังคับเลี้ยวของเจ้ายักษ์ RS7 ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ สัมผัสได้ว่ารถกำลังเคลื่อนตัวอยู่ภายใต้การควบคุม ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมีอะไรมากกว่าการยึดเกาะแบบแนบแน่น ไม่ได้มีสันดานดิบอย่าง AMG หรือ BMW M Division สำหรับ RS7 Sportback เน้นไปทางรถผู้ใหญ่ที่รักทั้งความแรงและความสบาย ในโลกแห่งความเป็นจริง มันแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของการขับเคลื่อนที่ปราดเปรียวและสะดวกสบายไปพร้อมกัน นี่คือรถยนต์ที่มีมากกว่าแค่สมรรถนะและรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่ง RS7 วิ่งได้อย่างมั่นคง (ด้วยความเร็วที่เหมาะสม) ในสภาพอากาศที่เลวร้าย ด้วยระดับการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม แท้จริงแล้ว การปล่อยให้ระบบต่างๆ ทำงาน (ไม่ปิด ESP)  RS7 จะอยู่ในสภาวะที่นุ่มนวลแต่พร้อมที่จะไปให้เร็วขึ้นได้อย่างฉับพลันทันที มันเป็นรถสปอร์ตคันโตที่ทำให้การวิ่งด้วยสปีดความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รู้สึกสงบราบเรียบราวกับ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง!! 

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือการเพิ่มที่นั่งในตำแหน่งที่ห้า ด้านหลังมีเบาะนั่งแบบแยกส่วน รองรับผู้โดยสารเพิ่มเติม หรือเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับวิธีการจัดพื้นที่ในห้องเก็บสัมภาระ อย่าลืมว่ามันเป็นรถ RS ดังนั้นความคล่องตัวจึงเป็นกุญแจสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขนาดและมวล

แดชบอร์ดคอนโซลด้านหน้าเป็นศูนย์รวมของความตื่นตาตื่นใจ หน้าจอทั้งหมดเชื่อมโยงกับการปรับตั้งและการแสดงผลตามที่คุณคาดหวังที่จะได้รับจากรถยนต์สมรรถนะสูงของศตวรรษที่ 21 การตั้งค่าหน้าปัดดิจิตอลด้วยเทคโนโลยีที่ Audi เป็นผู้บุกเบิกนั้นพัฒนาได้เร็วกว่าคู่แข่ง

จอแสดงผลเฉพาะ RS ที่มีตัวนับรอบรูปบูมเมอแรงที่เกือบจะนึกถึงมาตรวัดในยุค 70 ที่มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นหนึ่งในจอแสดงผล head-up ที่คมชัดที่สุดในตลาดรถหรู พร้อมคำแนะนำการนำทางโดยละเอียด ตรงกลางแผงหน้าปัด มีหน้าจอมอนิเตอร์สองหน้าจอ ทั้งสองจอภาพวางทำมุมไปทางคนขับ การแสดงผลของระบบ ‘MMI’ เวอร์ชันล่าสุดของ Audi นั้นยอดเยี่ยม เป็นระบบที่ออกแบบให้ใช้งานง่าย หน้าจอด้านล่างสำหรับระบบควบคุมสภาพอากาศ เหมือนกับใน Audi รุ่นใหญ่ในปัจจุบัน ( Q7 /Q8/A8) ใช้งานง่ายเมื่อต้องการเปลี่ยนอุณหภูมิขณะเดินทาง

เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ ตัวเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน RS Q8 / RS6 ความจุ 3,996 ซีซี. พ่วงระบบ MHEV Mild Hybrid 48V, direct injection engine + electric starter/generator ความกว้างกระบอกสูบ 84.5 มิลลิเมตร ช่วงชัก 89.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.3:1 กำลังสูงสุด 441 กิโลวัตต์ หรือ 605 แรงม้า ที่ 6,000- 6,250 รอบต่อนาที แรงบิด 800 นิวตันเมตร ที่ 2,050-4,500 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา 4×4 full-time (quattro all-wheel drive permanent with self-lockling center differential and torque vectoring with 40/60 asymmetric torque split, up to 70/30-15/85 variable) ตัวเลขสมรรถนะ เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 3.6 วินาที 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 13 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 -305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

ระบบกันสะเทือนของ Audi RS7 Sportback ด้านหน้าแบบปีกนกคู่ดับเบิ้ลวิชโบน ด้านหลังแบบ 5 Link มีให้เลือกใช้สองแบบคือ แบบถุงลมปรับได้หรือ Adaptive Air Suspension และแบบโช้คอัพ+สปริง ในระบบ Dynamic Ride Control (DRC) ช่วงล่างทั้งสองแบบ มีการปรับจูนให้ทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเพื่อให้เหมาะสมกับบุคลิกการขับและความต้องการของลูกค้า

ระบบเบรกจัดเต็มเพื่อหยุดความโหดของม้าทั้ง 600 ตัว คาลิปเปอร์เบรกหน้าแบบ 6 พอต เส้นผ่าศูนย์กลางจานเบรกหน้า 420 มิลลิเมตร เบรกหลังใช้คาร์ลิปเปอร์แบบ 4 พอต พร้อมจานเบรกเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 370 มิลลิเมตร ถ้าเงินเหลือก็สามารถจ่ายเพิ่มอีกเพียบเพื่อสอยระบบเบรกคาร์บอนเซรามิก โดยขนาดของจานหน้าจะโตขึ้นกลายเป็น 440 มิลลิเมตร ใหญ่โตจนแทบจะล้นออกมาจากล้อเลยทีเดียว

Adaptive Air Suspension ด้วยโมดูลสปริงลมแบบใหม่ที่มีอัตราส่วนความแข็งของแอร์สปริงสูงขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ RS 7 Sportback สามารถเข้าถึงความเร็วสูงสุด 305 กม./ชม. (189.5 ไมล์ต่อชั่วโมง) เป็นครั้งแรกด้วยแพ็กเกจไดนามิกพลัส และระบบกันสะเทือนแบบถุงลม RS เป็นชุดกันสะเทือนแบบสปอร์ตปรับได้สามระดับ แพลตฟอร์มแชสซีอิเล็กทรอนิกส์ (ECP) ทำหน้าที่เป็นกลไกในการควบคุมองคาพยพส่วนกลาง ปรับการทำงานของ Adaptive Air Suspension ให้เหมาะกับสภาพถนน รวมถึงสไตล์การขับขี่ส่วนตัว ควบรวมการทำงานขึ้นตรงกับโหมดขับเคลื่อนที่เปิดใช้งาน

ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมยังรวมถึงระบบควบคุมระดับความสูงแบบอัตโนมัติ ตำแหน่งปกติในโหมด Auto / Comfort /  efficiency มีการปรับระดับความสูงของรถให้ต่ำกว่า 10 มิลลิเมตร (0.4 นิ้ว) เมื่อเทียบกับ Audi A7 Sportback 55 TFSi ที่ความเร็ว 120 กม./ชม. (74.6 ไมล์ต่อชั่วโมง) ขึ้นไป ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมของ RS7 จะลดความสูงลงอีก 10 มม. (0.4 นิ้ว) เมื่อเลือกใช้โหมด Dynamic สำหรับการขับเคลื่อนบนพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบ ระบบกันสะเทือนถุงลมแบบปรับได้ จะมีการยกความสูงแบบอัตโนมัติ สามารถยก RS 7 Sportback ขึ้นอีก 20 มม. (0.8 นิ้ว) ที่ความเร็วต่ำ

สำหรับกันสะเทือนแบบสปอร์ตของ RS ด้วยระบบ Dynamic Ride Control (DRC) เป็นทางเลือกที่เน้นสมรรถนะการขับสูงสุด ทำให้ตัวถังของ RS 7 Sportback ต่ำลงไปอีก 4 มิลลิเมตร (0.2 นิ้ว) Dynamic Ride Control มีระบบป้องกันอาการโคลงตัว ประกอบด้วยสปริงเหล็กและแดมเปอร์แบบปรับได้สามทางที่ต้านการเคลื่อนไหวของตัวถังอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเข้าโค้งและเคลื่อนตัวไปในทางโค้ง การตอบสนองของแดมเปอร์จะเปลี่ยนไป ดังนั้น การเคลื่อนที่ของรถเกี่ยวกับแกนต่างๆ จะลดลงอย่างมาก

โช้คอัพที่ด้านหนึ่งของรถเชื่อมต่อในแนวทแยงมุม ใช้ท่อน้ำมันสองเส้นแยกกัน ซึ่งแต่ละเส้นมีวาล์วตรงกลาง วาล์วให้ปริมาตรการชดเชยน้ำมันที่จำเป็นขณะขับเคลื่อน ทำงานขึ้นตรงกับความเร็วและสภาพถนนรวมถึงโหมดการขับ ผ่านลูกสูบภายในกระบอกโช้คอัพ โดยมีช่องเติมแก๊สอยู่ด้านหลัง เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้าโค้ง จะเกิดการไหลของน้ำมันระหว่างโช้คอัพที่อยู่ตรงข้ามในแนวทแยง ผ่านวาล์วกลาง ซึ่งจะสร้างแรงสั่นสะเทือนเพิ่มเติม เมื่อด้านใดด้านหนึ่งมีการขยับตัว Dynamic Ride Control จะทำงานทันที ลักษณะของการหน่วง จะมีค่าการแปรผันอย่างต่อเนื่อง.

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/