จับตาเทรนด์การทำงานแห่งโลกอนาคต 10 ปีข้างหน้า




ปัจจุบันมีหลายตำแหน่งงานที่ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สะท้อนว่า Digital Disruption ไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นเรื่องสำคัญที่จะมาเปลี่ยนวิถีการทำงานของมนุษย์อย่างสิ้นเชิง แล้วในอนาคตนับจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA และศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ ได้ร่วมกันจัดทำ รายงานวิจัยการคาดการณ์อนาคตประเทศไทยปี พ.ศ.2573 (Futures and Beyond: Navigating Thailand toward 2030) ในหัวข้อ “การทำงานในอีก 10 ปีข้างหน้า” เพื่อให้เตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2563 เผยว่า ปัจจุบันมีผู้ที่อยู่ในวัยแรงงานจำนวน 38.21 ล้านคน แบ่งเป็นผู้มีงานทํา 37.33 ล้านคน ผู้ว่างงาน 3.92 แสนคน และผู้รอฤดูกาล 4.9 แสนคน ประกอบด้วยผู้ทํางานในภาคบริการและการค้า 17.5 ล้านคน ภาคเกษตรกรรม 11.28 ล้านคน และภาคการผลิต 8.55 ล้านคน โดยผู้มีงานทําร้อยละ 84.3 ทํางานตั้งแต่ 35 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ ผู้ที่ทํางานน้อยกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มีร้อยละ 13.8 และผู้ที่ไม่ได้ทํางานในสัปดาห์แห่งการสํารวจ มีร้อยละ 1.9 งานวิจัยขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) คาดการณ์ว่า ใน 20 ปีข้างหน้า ตําแหน่งงานและการจ้างงานในไทยไม่ตํ่ากว่าร้อยละ 44 (กว่า 17 ล้านตําแหน่ง) มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่โดยระบบอัตโนมัติ โดยกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ แรงงานในภาคบริการ ภาคเกษตรกรรม และแรงงานทักษะตํ่า

เมื่อการทำงานถูกเทคโนโลยีเทคโอเวอร์

ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน งานที่เราทำในปัจจุบันจะแตกต่างจากเดิมร้อยละ 50-70 หลายอาชีพกำลังจะสูญหายไป อย่างไรก็ตาม เมื่อระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และมนุษย์ มีการทำงานร่วมกันจะก่อให้เกิดทีมและผลลัพธ์การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ระบบการทำงานที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) จะเปลี่ยนแปลงการทำงานในสาขาและวิชาชีพที่เน้นด้านความรู้ เช่น การเงิน การแพทย์ ความเป็นผู้นำ กฎหมาย โดย AI จะช่วยเสริมการทำงานของผู้เชี่ยวชาญ และระบบปฏิบัติการให้มีความแม่นยำ เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วให้มากยิ่งขึ้น ถึงกระนั้น คําถามเกี่ยวกับจริยธรรมทางเทคโนโลยีจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ในอนาคตจะเกิดการถกเถียงประเด็นทางศีลธรรม และการออกกฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนา และการใช้ AI จะกลายเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากในอนาคต

อีกสิ่งที่จะตามมาคือ เครือข่าย 6G ที่คาดการณ์ว่า จะมีความเร็วมากกว่า 5G ถึง 8,000 เท่า โดยความเร็วของเครือข่าย 6G สามารถเปิดใช้งานแอปพลิเคชันเทคโนโลยีใหม่ๆ และปฏิวัติวงการได้ทั้งหมด สามารถเร่งการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งเปิดใช้งานอินเทอร์เฟซอัจฉริยะ ส่งผลต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า ชุดเสริมกำลัง (exoskeleton) ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอย่างกว้างขวาง แม้จะมีการออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ทั้งการแพทย์ อุตสาหกรรม การทหาร การใช้ชีวิตของผู้พิการและผู้สูงอายุ แต่อุปกรณ์นี้จะส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพทางกายภาพต่อการทำงานในอนาคตอย่างมาก

ชั่วโมงบิน-ชั่วโมงการทำงาน และเมื่อโลกเปิดรับทักษะที่หลากหลาย

เมื่อโลกเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง ความต้องการทักษะที่หลากหลายก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ประการแรกคือ อาชีพด้าน STEM เป็นอาชีพที่พนักงานใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม หรือคณิตศาสตร์ เพื่อพยายามทําความเข้าใจว่าโลกทํางานอย่างไร และแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งยังเป็นงานที่ต้องการอยู่ในปัจจุบันต่อเนื่องไปในอนาคต และจะมีบทบาทสําคัญต่อวิธีการทํางานของโลกและการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่อีกนัยหนึ่งก็มีการคาดการณ์ว่า วุฒิการศึกษาจะมีความจำเป็นน้อยลงต่อการพิจารณารับเข้าทำงาน โดยองค์กรจะมุ่งเน้นการพิจารณาการคัดเลือกเข้าทำงานจากทักษะและความสามารถที่มี และตรงกับความต้องการของงานในตำแหน่งนั้น และจะใช้วิธีการทดสอบระดับความสามารถของทักษะต่างๆ เพื่อใช้ในการคัดเลือกรับเข้าทำงาน

ขณะที่การทำงานออนไลน์ยังคาดว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้า ทำให้รูปแบบการทำงานแบบเดิมเปลี่ยนไป หลายอาชีพสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ การทำงานจึงมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่บางงานยังมีความจำเป็นที่ต้องเข้าสำนักงาน นอกจากนี้โลกยังจะให้ความสำคัญกับชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น เพื่อให้พนักงานสามารถเริ่มต้นและสิ้นสุดวันทำงานได้เมื่อต้องการ ทำให้พนักงานสามารถเข้ามาทำงานได้เร็ว หรือช้ากว่าเวลาที่กำหนด ช่วยให้สามารถจัดตารางการทำงานในช่วงเวลาที่เหมาะกับตนเอง เพื่อทำงานให้สำเร็จมากขึ้น นายจ้างก็สามารถเลือกรับพนักงานได้หลากหลายมากขึ้น

คนรุ่นใหม่กับคุณค่างานที่เปลี่ยนแปลง

คนรุ่นใหม่จํานวนมากตั้งเป้าที่จะเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย แทนที่จะประกอบอาชีพที่ประสบความสําเร็จ พวกเขาพยายามสะสมเงินออมให้เพียงพอเพื่อให้มีอิสระทางการเงินไปตลอดชีวิตงาน การทำงานเพื่อสร้างรายได้และความมั่งคั่ง ไม่ใช่ปัจจัยหลักของความสุข คนรุ่นใหม่จะให้ความสำคัญกับ “คุณค่าของเวลาว่าง (Valuing Free Time)” มากกว่าการเติบโตในสายอาชีพ หรือการเติบโตของฐานเงินเดือน เป้าหมายการทำงานจึงเน้นที่การสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต ดังนั้นองค์กรที่ต้องการรับพนักงานที่มีแรงบันดาลใจและมุ่งมั่น จำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนในความหมายและความยืดหยุ่นในการทำงาน

“กิ๊ก อีโคโนมี” ในยุคที่ทุกคนผันตัวเป็นชาวกิ๊ก

เมื่อเทคโนโลยีและโลกดิจิทัลเปลี่ยนแปลงไป หลายอาชีพต้องปรับตัว องค์กรส่วนใหญ่มีนโยบายการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะใหม่ที่จำเป็นต่ออนาคตให้พนักงาน เพื่อนำไปใช้ต่อยอดในงาน อีกสิ่งที่คาดว่าจะตามมาคือ “ระบบเศรษฐกิจแบบงานชั่วคราว และงานพาร์ทไทม์ หรือ Gig Economy” ตลอดจนงานอิสระ หรือสัญญาตามโครงการ จะกลายเป็นเรื่องปกติของตลาดงาน นายจ้างมีเป้าหมายที่จะลดจำนวนสัญญาแบบถาวรให้น้อยที่สุด ด้วยเหตุผลทางการเงิน พนักงานก็เต็มใจที่จะพิจารณาสัญญาที่มีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การทำงานภายใต้โมเดล Gig Economy ถือว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย เนื่องจากเป็นแนวคิดเศรษฐกิจแบ่งปัน โดยเน้นการทำงานที่ใช้ความร่วมมือเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ซึ่งทุกคนสามารถได้รับผลประโยชน์แบบ win-win

NIA กับการสร้างนวัตกรรมและงานแห่งอนาคต

นอกจากการส่งเสริมความสามารถทางนวัตกรรมให้กับเอสเอ็มอีของประเทศแล้ว NIA ยังให้ความสำคัญกับ “การสร้างงานแห่งอนาคต” ด้วยการปั้นคลื่นลูกใหม่ทางเศรษฐกิจอย่างสตาร์ทอัพ ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่เติบโตได้รวดเร็ว เพราะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ด้วยความแตกต่าง พร้อมเปิดรับการระดมทุนจากนักลงทุน โดยปัจจุบันมีสตาร์ทอัพกว่า 1,700 ราย ที่ช่วยยกระดับการจ้างงาน และทำให้มูลค่าเศรษฐกิจ-คุณภาพชีวิตของคนในประเทศเติบโตยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน NIA ยังได้บ่มเพาะหลักสูตร และองค์ความรู้ใหม่ๆ เช่น STEAM หรือทักษะทางด้านนวัตกรรมที่จำเป็นให้กับกลุ่มคนนิวเจน ตั้งแต่ระดับนักเรียนไปจนถึงมหาวิทยาลัย เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้ก้าวเป็น “นักสร้างการเปลี่ยนแปลง” ในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงนำไปใช้กับการทำงานในแต่ละองค์กร อีกทั้งยังมีการกระจายโอกาสทางนวัตกรรมไปสู่ระดับภูมิภาค ผ่านทั้งเรื่องของการเชื่อมโยงองค์ความรู้ การสร้างพื้นที่นวัตกรรม การให้ทุนสำหรับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ซึ่งโอกาสเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการรองรับภาคแรงงานที่กำลังจะต้องฟันฝ่ากับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงลูกใหญ่ที่กำลังจะมาถึงทุกคนในอนาคตอันใกล้.